Generative AI คืออะไร ทำไมถึงเปลี่ยนโลกการทำคอนเทนต์ไปตลอดกาล
Student blog — 25/08/2025

Generative AI (เจนเนอเรทีฟ เอไอ) คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถ “สร้าง” สิ่งใหม่ๆ ได้จากข้อมูลที่มันเคยเรียนรู้มา เช่น เขียนบทความ วาดภาพ แต่งเพลง ทำคลิปเสียง หรือแม้แต่สร้างวิดีโอ โดยทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่การลอกเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน
ต่างจาก AI แบบเดิมที่มักใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คำนวณ หรือช่วยตัดสินใจตามข้อมูลที่มีอยู่ Generative AI เหมือนเป็นนักสร้างสรรค์คนหนึ่ง ที่มีพลังไม่จำกัด ทำได้ทั้งคิด เขียน ออกแบบ และทดลองไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ในการเขียนบทความ ออกแบบกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ ปัจจุบัน Generative AI ช่วยลดเวลานั้นเหลือเพียงไม่กี่นาที โดยยังรักษาคุณภาพ และบางครั้งก็ช่วยต่อยอดไอเดียให้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แม้จะไม่มีทักษะเฉพาะด้าน ก็สามารถสร้างคอนเทนต์ได้ด้วยการพิมพ์คำสั่งหรือคำถาม เช่น “ช่วยเขียนโพสต์โซเชียลเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้” หรือ “ช่วยออกแบบโลโก้แนวมินิมอลให้หน่อย” เท่านี้ก็ได้ผลงานเบื้องต้นที่นำไปใช้ต่อได้ทันที
Generative AI ช่วยให้เราทดลองแนวคิดใหม่ๆ ได้รวดเร็ว เช่น ลองเขียนบทโฆษณาใน 5 สไตล์ภายในไม่กี่นาที หรือเปรียบเทียบดีไซน์ต่างๆ เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ไม่ต้องกลัวเสียเวลา และไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
แทนที่จะมาแทนที่มนุษย์ Generative AI กลายเป็น “ผู้ช่วย” ที่คอยเติมเต็มไอเดีย ช่วยย่นระยะเวลาทำงาน และลดภาระงานที่ซ้ำซาก เพื่อให้มนุษย์ได้มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ต้องใช้วิจารณญาณหรือความคิดสร้างสรรค์ขั้นสูงมากขึ้น
Generative AI ไม่ได้แค่เปลี่ยน “วิธีการ” สร้างคอนเทนต์ แต่มันเปลี่ยน “ใคร” ก็สามารถเป็นผู้สร้างได้
จากเดิมที่ต้องมีทีมงานเฉพาะทาง ต้องมีงบประมาณ ต้องใช้เวลา ตอนนี้ แค่มีไอเดียกับเครื่องมือ AI ก็สามารถสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพได้แล้ว
ในยุคนี้ คนทำคอนเทนต์จึงไม่ใช่แค่ “คนที่ทำได้” แต่คือ “ใครก็ทำได้ ถ้ามี AI อยู่ข้างตัว” และนี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ย้อนกลับ
1.ChatGPT (OpenAI)
ใช้สำหรับ: เขียนบทความ, คิดแคปชั่น, สรุปข้อมูล, เขียนโค้ด
จุดเด่น: ตอบคำถามหรือสร้างเนื้อหาตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับทั้งงานคอนเทนต์ การตลาด การศึกษา และงานเขียนทั่วไป
- พิมพ์ว่า “ช่วยเขียนโพสต์โปรโมทสินค้าสำหรับเพจ Facebook” แล้ว AI จะร่างให้เลย
- ใช้สรุปบทเรียนจากบทความยาวๆ ให้สั้นกระชับ
2. DALL·E (OpenAI)
ใช้สำหรับ: สร้างภาพจากข้อความ (Text-to-Image)
จุดเด่น: แค่พิมพ์คำอธิบายภาพ เช่น “แมวใส่ชุดนักบินอยู่บนดวงจันทร์” ก็สร้างภาพให้ได้
เหมาะกับ: คนทำงานสายออกแบบ กราฟิก หรือคอนเทนต์ภาพ เช่น ปกบทความ โปสเตอร์
3. Canva Magic Studio
ใช้สำหรับ: ออกแบบกราฟิก, สร้างภาพ, เขียนข้อความอัตโนมัติ
จุดเด่น: ใช้ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการทำสไลด์ โปสเตอร์ อินโฟกราฟิก หรือโพสต์โซเชียล
มีฟีเจอร์ AI: เช่น Magic Write (ช่วยเขียนข้อความ), Magic Design (สร้างเทมเพลตอัตโนมัติ)
4. Runway ML
ใช้สำหรับ: ตัดต่อวิดีโอด้วย AI, สร้างวิดีโอจากข้อความ
จุดเด่น: ใช้เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับหนังระดับโปร เช่น ลบพื้นหลังวิดีโอ เพิ่มเอฟเฟกต์ สร้างวิดีโอจากไอเดีย
เหมาะกับ: ครีเอเตอร์สายวิดีโอ, อินฟลูเอนเซอร์, ทีมคอนเทนต์
5. Descript
ใช้สำหรับ: ตัดต่อวิดีโอและเสียงแบบง่ายๆ ด้วยข้อความ
จุดเด่น: แค่แก้ข้อความที่พูดในคลิป เสียงหรือวิดีโอจะถูกตัดตามอัตโนมัติ
มีฟีเจอร์ Overdub: สร้างเสียงผู้พูดจาก AI ได้ด้วย เหมาะกับพอดแคสต์หรือวิดีโอสัมภาษณ์
6. Adobe Firefly
ใช้สำหรับ: สร้างภาพกราฟิกและเอฟเฟกต์ด้วยข้อความ
จุดเด่น: รวมอยู่ในเครื่องมือของ Adobe เช่น Photoshop และ Illustrator
เหมาะกับ: นักออกแบบมืออาชีพ ที่ต้องการภาพสร้างสรรค์แบบใหม่ในงานออกแบบ
เขียนโดย : นางสาวปวีณา กรงทอง